
ในทางเศรษฐศาสตร์คำว่า “ดอกเบี้ย” ยัง
- หมายรวมถึงค่าตอบแทนจากกการใช้ปัจจัยการผลิตประเภททุนอีกด้วย เหตุผลในการคิดดอกเบี้ยก็เพื่อเป็นค่าเสียโอกาสของเงินหรือปัจจัยทุนนั้น ในการที่จะนำไปใช้ประโยชน์ทางอื่น
- เป็นเครื่องควบคุมอัตราเงินเฟ้ออีกด้วย คือ เมื่อใดที่เกิดอัตราเงินเฟ้อขึ้น แสดงว่ามีปริมาณเงินในตลาด (หมายถึงเงินในมือประชาชน) จำนวนมาก และสินค้าจะราคาแพงขึ้น การขึ้นดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ ทำให้เงินไหลออกจากตลาดไป ปริมาณเงินจะลดลง เงินเฟ้อก็จะลดลง
1. กรณีดอกเบี้ยเป็นบวก เป็นกรณีที่พบเห็นได้ทั่วไปเป็นส่วนใหญ่ เช่น เรานำเงินไปฝากธนาคาร 100 บาท ธนาคารจ่ายอัตราดอกเบี้ย +3% ต่อปี เมื่อครบ 1 ปี เราจะมีเงินในบัญชีเรา 103 บาท (กำไร 3 บาท)
2. กรณีดอกเบี้ยติดลบ เป็นกรณีที่พบได้ในประเทศที่มีปัญหาทางด้านการเงิน/เศรษฐกิจ เช่น เรานำเงินไปฝากธนาคาร 100 บาท ธนาคารจ่ายอัตราดอกเบี้ย -1% ต่อปี เมื่อครบ 1 ปี เราจะมีเงินในบัญชีเรา 99 บาท (ขาดทุน 1 บาท) หรืออีกนัยหนึ่ง ธนาคารเก็บค่าฝากเงิน/คิดค่าธรรมเนียมจากผู้ฝากเงินร้อยละ 1 ต่อปี ฟังดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ก็เกิดขึ้นในหลายประเทศแล้ว
สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว ดอกเบี้ยติดลบคงเกิดขึ้นได้ยากเพราะคงไม่มีใครให้คนอื่นยืมเงินและแถมค่ายืมเงินให้อีก แต่ที่ตลาดเงินมีอัตราดอกเบี้ยติดลบส่วนใหญ่เริ่มจากระดับนโยบาย โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Committee) ภายใต้ธนาคารกลาง (Central Bank) ในประเทศนั้นๆ จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) ซึ่งเท่ากับอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร 1 วัน (Repo) ให้มีผลตอบแทน/ดอกเบี้ยติดลบ (ด้วยเหตุผลบางประการ) ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่จำเป็นที่จะต้องรับฝากเงินอีกต่อไปถ้าดอกเบี้ยเงินฝากยังเป็นบวกอยู่ เพราะสามารถที่จะกู้เงินจากธนาคารกลางในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่า (อย่าลืมว่าดอกเบี้ยเงินฝากคือต้นทุนของธนาคาร) แต่ธนาคารก็ไม่อาจหยุดรับฝากเงินได้เพราะจะทำให้ระบบการเงินปั่นป่วนและเสียฐานลูกค้าได้ ทางที่ธนาคารจะทำได้ก็คือยังคงรับฝากเงินต่อไป แต่ให้ดอกเบี้ยเงินฝากในอัตราติดลบโดยอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนจะติดลบเท่าใด/นานเท่าใด ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะทางเศรษฐกิจในขณะนั้น แต่ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ประมาณ -0.1% ถึง -0.2% และก็จะกลับมาเป็นบวกอีกครั้งเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว/เงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้น
ทำไมถึงต้องใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ? ในทางทฤษฎีแล้ว การใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบจะกระทำในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการเงิน เช่น
- ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในปี 2016 โดยคาดว่าฝ่ายผู้ผลิต เมื่อลดดอกเบี้ยให้ต่ำ/ติดลบ บริษัท/ผู้ประกอบการจะกู้เงินได้ด้วยต้นทุนที่ถูกลง จะช่วยให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจ เกิดการจ้างงาน และเศรษฐกิจก็จะฟื้น ฝ่ายผู้บริโภค เมื่อดอกเบี้ยต่ำ/ติดลบ แรงจูงใจที่จะฝากเงินก็จะน้อยลง คนจึงตัดสินใจนำเงินมาใช้จ่ายมากขึ้น เงินจะเริ่มเฟ้อเพราะคนอยากจะใช้เงินมากกว่าอยากจะเก็บออม เงินจึงไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น และจะทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน
- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในปี 2014 โดยมีวัตถุประสงค์ให้ธนาคารพาณิชย์ (แทนที่จะกักตุนเงินเอาไว้) เร่งปล่อยกู้ให้เม็ดเงินกระจายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดภาวะที่มีอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากในขณะนั้น อัตราเงินเฟ้อของกลุ่ม Eurozone มีอัตราที่ระดับ 0.5% ซึ่งต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 2% ที่ ECB กำหนดเอาไว้
- ธนาคารกลางสวิส (SNB) ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในปี 1970 เพื่อสกัดกั้นเงินไหลเข้า (Fund Flow) เพื่อแสวงหาผลตอบแทนจากเงินฝากที่สูงกว่าในประเทศของตน โดยช่วงนั้นเป็นช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงทั่วโลก และค่าเงินฟรังก์สวิสแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจนต้องสั่งเบรก แต่เงินก็ยังไหลเข้าอย่างต่อเนื่องแม้จะคิดค่าฝากติดลบก็ตาม
ประเทศใดบ้างที่เคยใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ?
- ในปี 1970 รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ได้ใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ เพื่อต่อสู้กับค่าเงิน Swiss Franc (CHF) ที่แข็งตัวเกินไป อันเนื่องมาจากนักลงทุนหนีจากเงินเฟ้อในประเทศอื่นๆ เข้ามาถือเงิน Franc แทน
- ในปี 2009 และ 2010 ประเทศสวีเดน และในปี 2012 ประเทศเดนมาร์ก ใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ เพราะต้องการสกัดเงินร้อนที่ไหลเข้ามาในระบบเศรษฐกิจของประเทศ
- ในปี 2014 ธนาคากลางยุโรป (ECB) ใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ เพราะต้องการที่จะปกป้องภาวะเงินฝืดในกลุ่มยูโรโซน
- ในปี 2016 ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ เพราะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซามาเป็นทศวรรษ
ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ/ติดลบแล้วเศรษฐกิจจะฟื้นได้จริงหรือ? คำตอบคือไม่มีอะไรแน่นอน แต่ก็ต้องทำหรือดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ลองหันมามองในมุมของเศรษฐศาสตร์ประยุกต์หรือในมุมโต้แย้งบ้าง ดังนี้
- นักเศรษฐศาสตร์เดิมมักกล่าวว่า เมื่อดอกเบี้ยต่ำ/ติดลบ ธุรกิจจะกู้มากขึ้น แต่ในยุคปัจจุบันอาจไม่เป็นจริงเพราะ ธุรกิจจะกู้มากขึ้น เมื่อเห็นโอกาสในการเติบโต
- นักเศรษฐศาสตร์เดิมมักกล่าวว่า เมื่อดอกเบี้ยต่ำ/ติดลบ แรงจูงใจที่จะฝากเงินก็จะน้อยลง คนจึงตัดสินใจนำเงินมาใช้จ่ายมากขึ้น แต่ในยุคปัจจุบันอาจไม่เป็นจริงเพราะ คนจะใช้จ่ายก็ต่อเมื่อมีความเชื่อมั่นในอนาคต หากขาดความเชื่อมั่น คนก็จะเก็บเงินไว้ ไม่ว่าดอกเบี้ยคุณจะต่ำมากแค่ไหนก็ตาม
- การสร้างฟองสบู่ตลาดหุ้น ไม่ใช่การสร้างธุรกิจใหม่
- การสร้างสภาวะเงินฝืดเรื้อรัง ไม่ใช่การเพิ่มเงินเฟ้อ
- การกระตุ้นให้เกิดการว่างงาน ไม่ใช่การเพิ่มการจ้างงาน
- เพื่อให้แน่ใจว่าสภาพคล่องในระบบมีอยู่อย่างเพียงพอ ไม่เกิดการหดตัวอย่างรุนแรงของสภาพคล่อง (ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ)
- เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน สังเกตว่าการทำ QE มุ่งเป้าไปที่การซื้อสินทรัพย์บางประเภท เช่น พันธบัตรระยะยาว พันธบัตรที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่กองทุนหุ้น เพื่อพุ่งเป้าในการเพิ่มราคาสินทรัพย์เหล่านั้นหรือลดต้นทุนทางการเงินแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อให้นักลงทุน รัฐบาล และผู้บริโภคกู้เงินได้ถูกลง ลดความเสี่ยงต่องบดุลของผู้กู้ทั้งหลาย และกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หนีปัญหาเงินฝืด
- เป็นการไล่เงินออกจากทรัพย์สินปลอดภัยให้ไปถือสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เช่น พันธบัตรรัฐบาลที่เคยถือไม่มีความเสี่ยง ได้ดอกเบี้ยสบายๆ 4% อยู่ดีๆ อัตราผลตอบแทนลดลงอย่างรวดเร็ว ก็คงต้องหาทางไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากขึ้นเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนเท่าเดิม (ซึ่งก็หายากขึ้นเรื่อยๆ) เท่ากับเป็นการกระจายสภาพคล่องออกไปถ้วนหน้าอย่างรวดเร็ว
- Negative Real Interest Rate อัตราดอกเบี้ยแท้จริง (Real Interest Rate) ติดลบ คืออะไร?
- Negative Treasury Bill Rate อัตราผลตอบแทน (Yield) พันธบัตรระยะสั้น (Treasury Bill) ติดลบ คืออะไร?
%%%%%%%%%%
No comments:
Post a Comment