Pages

เมื่อแบงก์ชาติริอาจจะเล่นหุ้น

March 23, 2016: Macroeconomics News
หัวข้อข่าว: เมื่อแบงก์ชาติริอาจจะเล่นหุ้น
Headline: BOT to invest part of global reserves in foreign equities

เรียบเรียงสรุปโดยถอดเทปจากรายการ Money Go Round โดย อ.วีระ ธีรภัทร วันที่ 23 มี.ค. 2559 เรื่อง เมื่อแบงก์ชาติริอาจจะเล่นหุ้น

ฟังดูน่าประหลาดใจ เราจึงควรที่จะทำความเข้าใจ/ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2559 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับหลัการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติ (พรบ.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้ ธปท. สามารถนำส่วนหนึ่งของทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ
(International Reserve) ไปลงทุนในตราสารทุนหรือไปซื้อหุ้นในต่างประเทศได้ จากเดิมที่ให้ลงทุนได้เฉพาะสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและอัตราเสี่ยงต่ำ เช่นตราสารหนี้/พันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ ขั้นตอนของกฏหมายก็มีขั้นตอนคร่าวๆ ดังนี้ ธปท. > ก.คลัง > ครม. > สนง.คณะกรรมการกฤษฎีกา > ครม. > สภานิติบัญญัติ /กมธ./ผ่าน 3 วาระ > ประกาศใช้เป็น กม. ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี

มาดูว่าทำไมเดิมที่ลงทุนได้เฉพาะสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงและอัตราเสี่ยงต่ำก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องแก้ไข? ในการบริหารสภาพคล่องเงินตราต่างประเทศ เวลามีเงินต่างประเทศ (ต่อไปนี้เรียกว่าเงินเหรียญ) ไหลเข้ามาในประเทศ เขาจะถูบังคับตามกฏหมายให้ต้องแลกเป็นเงินบาทก่อนนำไปลงทุน/ทำธุรกรรมใดๆ ธปท. ก็ต้องหาเงินบาทมาให้เพียงพอต่อการแลก ทางหนึ่งซึ่งสามารถทำได้คือการออก/ขายพันธบัตร เพื่อให้ได้เงินบาทมาจะได้ให้เขาแลกได้ การออกพันธบัตรต้องเสียดอกเบี้ย พอแลกเสร็จก็ได้เงินเหรียญมา หากเก็บเงินเหรียญไว้เฉยๆ ก็จะขาดทุนดอกเบี้ยจ่าย จีงต้องนำเงินเหรีญญที่ได้มาไปฝากแบงก์/ลงทุนพันธบัตรในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้มีดอกเบี้ยรับกลับเข้ามา ปรากฏว่า ธปท. มีดอกเบี้ยจ่ายมากกว่าดอกเบี้ยรับ เพราะพันธบัตรในประเทศมีดอกเบี้ยที่สูงกว่าต่างประเทศ ผลลัพธ์คือทำให้ขาดทุนร่ำไป (ยังไม่รวมความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน) ดังนั้นจึงมีแนวความคิดที่จะนำทุนสำรองเงินตราต่างประเทศบางส่วน (น้อยๆ) ไปลงทุนในสินทรัพย์ตราสารทุน/หุ้นเพื่อถัวเฉลี่ยแล้วจะไม่ขาดทุน ดังตัวอย่าง (ไม่ใช่ของจริง/ใช้อธิบายให้ดูง่ายขึ้นเท่านั้น)

ของเดิม
  • มูลค่าพันธบัตร  = 1,000
  • ดอกเบี้ยจ่าย 2% = 20
  • 100% ลงทุนพันธบัตรต่างประเทศ ดอกเบี้ยรับ 1.5% = 15
  • ผลลัพธ์/ขาดทุน = 5
แบบใหม่
  • มูลค่าพันธบัตร  = 1,000
  • ดอกเบี้ยจ่าย 2% = 20
  • ส่วนแรก 80% ลงทุนพันธบัตรต่างประเทศ ดอกเบี้ยรับ 1.5% = 12
  • ที่เหลือ 20% ลงทุนในตลาดทุน คาดกำไรส่วนต่าง 5% = 10
  • รวมรายได้ = 22
  • ผลลัพธ์/กำไร = 2
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ ธปท.ดูแลอยู่มี 170,867 ล้านเหรียญ ณ 11 มี.ค. 2559 ภาพรวมแบ่งเป็นสินทรัพย์โดยประมาณดังนี้

  • ทองคำ 6,173 ล้านเหรียญ
  • สิทธิพิเศษถอนเงิน 1,359 ล้านเหรียญ
  • สินทรัพย์ส่งสมทบกองทุนการเงินระหว่างประเทศและเงินให้กู้แก่กองทุนฯ 685 ล้านเหรียญ
  • สินทรัพย์ต่างประเทศ (พันธบัตร/ตราสารหนี้) 162,648 ล้านเหรียญ
ในการบริหารทุนสำรองฯ นี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ แยกบริหารจากกัน

1. ทุนสำรองเงินตรา 73,263 ล้านเหรียญ มีไว้หนุนการพิมพ์ธนบัตรตาม พรบ.เงินตรา (ไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง พรบ. ในครั้งนี้) แบ่งเป็นสินทรัพย์ต่างๆ ดังนี้
  • เงินตราต่างประเทศ 12,439 ล้านเหรียญ
  • ทองคำ 5,409 ล้านเหรียญ (ส่วนใหญ่ใช้ทองคำสำหรับ Back Up การพิมพ์ธนบัตร)
  • หลักทรัพย์ต่างประเทศ 55,176 ล้านเหรียญ
  • สินทรัพย์อื่นๆ 238 ล้านเหรียญ
เรามีทุนสำรองเงินตรา 73,263 ล้านเหรียญ แต่ปัจจุบันใช้หนุนออกธนบัตรไปเพียง 41,827 ล้านเหรียญ แสดงว่าเรามีทุนสำรองฯ ที่จะใช้ออกธนบัตรได้เหลือเฟืออีกมาก

2. ทุนสำรองทั่วไป 97,604 ล้านเหรียญ ส่วนใหญ่อยู่ในรูปพันธบัตรประมาณ 77,653 ล้านเหรียญ (ที่ใช้ในการบริหารสภาพคล่อง) ทุนสำรองทั่วไปนี้คือส่วนที่ ธปท. ต้องแก้ไข พรบ. เพื่อที่จะแบ่งส่วนหนึ่งใช้ไปลงทุนในตราสารทุนได้สะดวก โดยทาง ธปท. จะนำไปลงทุนเป็นเพียงส่วนน้อย ซึ่งคาดว่าจะเป็นส่วนที่เหลือจากสภาพคล่องแล้ว

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หนังสือชี้แจงของ ธปท. เรื่อง ชี้แจงเกี่ยวกับการแก้ไข พ.ร.บ. ธปท. เพื่อขยายขอบเขตการลงทุนของเงินสำรองระหว่างประเทศ

ตามที่ได้มีกระแสข่าวแสดงความห่วงใยในการที่ ธปท. เสนอแก้ไข พ.ร.บ. ธปท. เพื่อขยายขอบเขตการลงทุนของเงินสำรองระหว่างประเทศให้รวมตราสารทุนได้นั้น เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ธปท. ขอชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้
  1. การเสนอเพิ่มประเภทของสินทรัพย์ให้รวมถึงราสารทุนเป็นการขยายขอบเขตการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศให้ครอบคลุมหลักทรัพย์ที่กว้างขึ้นกว่าที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการบริหารความเสี่ยงของเงินสำรองระหว่างประเทศ ไม่ใช่การเสนอจัดตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่ง (Sovereign Wealth Fund) ที่มุ่งแสวงหาประโยชน์ตอบแทนในระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์อื่นที่หลากหลายกว่ามาก ในการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศนั้น ธปท. จะต้องให้ความสำคัญกับสภาพคล่องของการลงทุนเพราะเงินสำรองระหว่างประเทศจะต้องมีความพร้อมที่จะนำมาใช้ได้ตลอดเวลา
  2. การวางแผนขยายขอบเขตการลงทุนให้ครอบคลุมถึงตราสารทุนนี้เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต เพื่อให้ ธปท. มีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดย ธปท. ได้ศึกษาเรื่องนี้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และมีการดำเนินการกันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอนาคตนั้นการกระจายความเสี่ยงของการลงทุนจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เนื่องจากตลาดการเงินโลกจะมีความผันผวนสูงขึ้น ในบางช่วงเวลาการลงทุนเฉพาะในพันธบัตรหรือตราสารหนี้อาจทำให้การบริหารเงินสำรองไม่มีประสิทธิภาพ การมีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการลงทุนได้ เช่น ในช่วงที่พันธบัตรของประเทศอุตสาหกรรมหลักๆ มีผลตอบแทนต่ำหรือติดลบ หรือค่าเงินสกุลหลักๆ อ่อนค่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารทุนอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่ชดเชยได้
  3. การลงทุนในตราสารทุนจะเป็นเพียงส่วนน้อยของเงินสำรองระหว่างประเทศ และจะเป็นการลงทุนเฉพาะในบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นบัญชีที่มีไว้เพื่อรองรับความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ มิได้เกี่ยวข้องกับบัญชีทุนสำรองเงินตราที่มีไว้เพื่อหนุนหลังการออกธนบัตรแต่อย่างใด บัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นบัญชีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามปริมาณเงินทุนเคลื่อนย้ายซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยต้องให้ความสำคัญต่อการบริหารสภาพคล่องเป็นอย่างดี
  4. ในการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศนั้น จะมีการติดตามและประเมินผลเป็นระยะๆ โดยมีการรายงานผลการบริหารและความเสี่ยงของการลงทุนต่อคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่มีหน้าที่กำกับดูแล และมีการกำหนดหลักเกณฑ์การบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมโดยยึดหลักการตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย
  5. ในการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ ธนาคารกลางหลายแห่งได้ลงทุนในตราสารทุนมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว อาทิ ธนาคารกลางมาเลเซีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ อิสราเอล สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ เป็นต้น


%%%%%%%%%%


No comments:

Post a Comment